บทความนี้จะพาไปเรียนรู้เรื่องราวและอาการแบตเสื่อม พร้อมแนะนำวิธีถนอมแบตมือถือของคุณให้ใช้งานได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น
ต่อมากับอาการโทรศัพท์แบตเสื่อมแบบปานกลาง ที่อยู่ดี ๆ เปอร์เซ็นต์ของแบตก็กลับลดลงแบบไม่ทันตั้งตัว เช่น จาก 70% ลดลงไปอยู่ที่ 50% ในเวลาอันรวดเร็ว หรือบางครั้งในเวลาที่แบตใกล้หมดเหลือประมาณ 20% โทรศัพท์ก็ดับลงไปเองทันที ฯลฯ
ปิดท้ายด้วยอาการโทรศัพท์แบตเสื่อมขั้นรุนแรง คือ อาการแบตบวม ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ถึงเวลาต้องดำเนินการเปลี่ยนแบตให้เร็วที่สุด มิฉะนั้นอาจส่งผลเสียตามมามากมาย ทั้งต่อตัวโทรศัพท์และต่อตัวผู้ใช้เองด้วย
แม้ของทุกชิ้นจะมีอายุการใช้งานของมัน และมีการเสื่อมคุณภาพลงไปตามกาลเวลา รวมไปถึงเรื่องของแบตมือถือด้วยเช่นกัน แต่เราสามารถดูแล และรักษาให้แบตมือถือใช้งานได้นานมากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่แบตโทรศัพท์เสื่อมนั้น บางครั้งก็เกิดมาจากพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ด้วย ดังนั้น มาดูกันว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้มือถือแบตเสื่อมมีอะไรบ้าง
เสียบสายชาร์จแบตผิดวิธี โดยการเสียบสายชาร์จเข้ากับเครื่องโทรศัพท์ก่อนแล้วจึงเสียบอะแดปเตอร์เข้ากับปลั๊กไฟ
การใช้มือถือไปเรื่อยๆ และปล่อยให้แบตหมด
ใช้งานมือถือหนักเกินไป จนทำให้เครื่องร้อน
ใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตมือถือปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน
ตั้งค่าหน้าจอมือถือแบบสว่างสูงสุดทิ้งไว้
นอกจากอาการโทรศัพท์แบตเสื่อมที่เราแนะนำไปข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายวิธีเลยทีเดียวที่สามารถเช็กสุขภาพแบตมือถือของคุณได้แบบง่าย ๆ ได้ตัวเอง ดังนี้
เปอร์เซ็นต์ของแบตมือถือขึ้น ๆ ลง ๆ
แบตเตอรีลดลงเร็วกว่าปกติ
แบตมือถือร้อนขึ้น ทั้งในระหว่างการใช้งานและตอนชาร์จแบต
แบตเตอรีมีอาการบวม
เปอร์เซ็นต์ของแบตไม่เพิ่มขึ้น ในระหว่างการชาร์จ
มือถือดับเองหรือรีสตาร์ตเครื่องเองบ่อย
เช็กสุขภาพของแบตผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ทั้งในระบบ iOS และ Android
อย่างที่กล่าวไปว่า เทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้งานแบตเตอรีที่ฝังติดอยู่กับตัวเครื่องแทบทุกรุ่นแล้ว จึงไม่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเองได้เหมือนในอดีต ดังนั้น การจะส่งซ่อมทีหนึ่ง จึงต้องอาศัยความรู้ของผู้เชี่ยวชาญและต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้น ก่อนที่แบตมือถือจะเกิดอาการเสื่อมสภาพ จึงควรถนอมการใช้งานของแบตให้ได้มากที่สุด แถมยังเป็นวิธีช่วยประหยัดแบตไม่ให้หมดไวอีกด้วย โดยวิธีป้องกันและดูแลให้แบตให้ใช้งานได้นานขึ้น มีดังต่อไปนี้
หลีกเลี่ยงการใช้มือถือในพื้นที่ที่อากาศร้อน หรืออุณหภูมิสูงเกินไป
ไม่ควรใช้งานโทรศัพท์จนแบตหมดเกลี้ยง
เลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตที่ได้มาตรฐาน
ชาร์จแบตเตอรีให้ถูกวิธี โดยเสียบอะแดปเตอร์เข้ากับปลั๊ก ก่อนเสียบสายชาร์จเข้ากับโทรศัพท์
ใช้เคสโทรศัพท์ที่สามารถระบายความร้อนได้ดี
ปรับความสว่างหน้าจอเป็นแบบ Auto เพื่อไม่ให้แบตทำงานหนักเกินไป
ใช้งานมือถือแบบโหมดประหยัดพลังงาน
เมื่อใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ แล้ว ควรกดปิดทุกครั้ง
หากมีแอปพลิเคชันไหนที่ไม่ได้ใช้งาน ควรลบทิ้ง
ลองใช้มือถือแบบ Dark Mode
ปิดการเชื่อมต่อที่ไม่ได้ใช้งาน
ตั้งค่าล็อกหน้าจอแบบอัตโนมัติ
พยายามไม่ใช้วอลล์เปเปอร์แบบภาพเคลื่อนไหว
สายเล่นเกม ควรตั้งค่ากราฟิกไม่ให้สูงเกินไป
สำหรับแบตเตอรีมือถือที่ใช้งานกันอยู่หลักๆ มี 2 แบบด้วยกัน คือ Lithium-ion และ Lithium Polymer ซึ่งเมื่อแบตมือถือมีอาการเสื่อม มีอาการร้อนจัด และเกิดรูรั่วขึ้น ตัวแบตก็อาจมีการปล่อยแก๊สออกมา จนส่งผลให้แบตเตอรีมีอาการบวมขึ้น
ในโทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบัน อาจสังเกตได้ยากเพราะแบตถูกฝังอยู่ในตัวเครื่อง และไม่สามารถถอดออกมาเช็คเองได้ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่อาจรู้ได้ว่าแบตมือถือเริ่มมีอาการบวม แต่ก็สามารถสังเกตได้จากอาการของมือถือเบื้องต้น เช่น เปอร์เซ็นต์ของแบตมือถือขึ้น ๆ ลง ๆ ผิดปกติ ชาร์จไฟไม่เข้า หรือมือถือมีอาการดับเอง ฯลฯ
จริง ๆ อาการแบตบวมนั้น ผู้ใช้งานมือถือยังสามารถใช้งานตัวเครื่องได้ตามปกติ แต่ค่อนข้างมีความอันตรายพอสมควร โดยอาจส่งผลต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น แบตเตอรีระเบิด ระบบทัชสกรีนหน้าจอเสีย สร้างความเสียหายต่อเมนบอร์ด ชาร์จแบตได้ช้าหรือชาร์จไม่เข้า และปุ่มต่าง ๆ ของตัวเครื่องใช้งานไม่ได้ ฯลฯ
สำหรับการใช้งานโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ มักมีแอปพลิเคชันที่เป็นผู้ช่วยในการเช็กสุขภาพแบตเตอรีของคุณ อย่างในระบบ iOS ของ iPhone ก็มีฟังก์ชันนี้เช่นเดียวกัน ใช้ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์คุณภาพของแบตว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ ซึ่งโดยปกติแล้วอาจจะเช็กทุก ๆ 6 เดือน - 1 ปี หากพบว่าคุณภาพของแบตเตอรีตกลงไปต่ำกว่า 80% ถือเป็นสัญญาญบ่งบอกว่า การทำงานของแบตนั้นไม่ได้เต็มที่อย่างที่เคยและอาจต้องเริ่มพิจารณาเรื่องของการเปลี่ยนแบตใหม่ในอนาคตอันใกล้
หลักง่าย ๆ ในการชาร์จแบตมือถือที่สามารถช่วยถนอมสุขภาพของแบตได้ ก็คือไม่ควรปล่อยให้แบตใกล้หมดแล้วค่อยชาร์จ โดยอาจเริ่มเติมพลังให้แบตมือถือเมื่อเปอร์เซ็นต์ของแบตหล่นลงไปที่ประมาณ 40-50% อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงการเล่นมือถือในระหว่างชาร์จด้วย เพราะนั่นก็อาจทำให้แบตเสื่อมไวขึ้นอีกทางหนึ่ง
การเสียบชาร์จแบตมือถือก็ถือเป็นเรื่องสำคัญในการถนอมการใช้งานแบตมือถือเช่นเดียวกัน โดยควรเริ่มต้นเสียบสาย USB เข้ากับตัว Adapter ก่อน จากนั้นจึงค่อยนำ Adapter ไปเสียบกับส่วนปลั๊ก ปิดท้ายด้วยการนำหัว USB อีกฝั่งเสียบเข้ากับมือถือเป็นลำดับสุดท้าย ส่วนตอนถอดสายชาร์จเมื่อแบตเต็ม ก็ควรถอดสาย USB จากตัวมือถือก่อน แล้วค่อยดึง Adapter ออกจากปลั๊ก
เรื่องราวของโทรศัพท์มือถือถือเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับคนยุคนี้เลยก็ว่าได้ และปัญหาที่พบบ่อยและเจอกันมาตลอดก็คือเรื่องของโทรศัพท์แบตเสื่อมนั่นเอง สามารถนำวิธีการดูแลรักษาและถนอมแบตมือถือที่เราแนะนำไปทำตามกันได้ ลองนำไปปรับใช้กันดู เพื่อให้มือถือใช้งานได้นานและคุ้มค่ายิ่งขึ้น