เคล็ด (ไม่) ลับ กับการทำงานอย่างมีความสุขในแบบฉบับทีมทรู
เบื้องหลังความสำเร็จของงาน นอกจากความชำนาญ และความทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของทีมที่มอบให้กับงานแล้ว ปัจจัยหลักที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ความสุข” โดยเฉพาะในองค์กรต่าง ๆ หากพนักงานทำงานด้วยความสุขทั้งกายและใจเป็นพื้นฐานแล้ว องค์กรนั้นย่อมมีบรรยากาศการทำงานที่ดี และก่อเกิดนวัตกรรม สร้างผลงานที่โดดเด่นเช่นกัน
องค์กรยุคใหม่ทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุข ทั้งทางกายและทางจิตใจไปพร้อมกัน สำหรับประเทศไทย ทรู เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นดูแลและให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคนเป็นอันดับแรก โดยส่งเสริมให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขในทุกด้าน นอกเหนือจากการดูแลด้านความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ยังใส่ใจในการส่งเสริมความสุขใจทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิตไปพร้อมกัน ผ่านสวัสดิการและกิจกรรมที่หลากหลาย
หนึ่งในกิจกรรมที่ได้สาระความรู้ไปพร้อมกับการสนับสนุนความสุขของพนักงานยิ่งขึ้น คือ การพบปะพูดคุย และรับฟังเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ จากผู้เชี่ยวชาญและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่หลายคนชื่นชอบ ในหัวข้อที่หลากหลาย ซึ่งขอหยิบยกเคล็ดลับดี ๆ จาก 2 กิจกรรมเด่นในช่วงที่ผ่านมา ให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้ด้วยกัน
ความสุขที่มาพร้อมกับการรู้จักตัวเอง
ในการทำงานและการใช้ชีวิต พนักงานอาจมีความเครียดได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดได้กับทุกคน บางคนอาจจะเครียดโดยไม่รู้สึกตัวได้เช่นกัน ภาวะเช่นนี้เราหาทางป้องกันและแก้ไขได้ โดยแปรเปลี่ยนให้เป็นการรู้จักตัวเองและนำมาซึ่งความสุข
ดร. โฟม สุธาสินี เชาวน์เลิศเสรี นักจิตวิทยาให้คำปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตองค์กร ผู้ก่อตั้ง ALRISE ศูนย์บริการเชิงจิตวิทยาและพัฒนาบุคคลเชิงองค์รวม ได้มาแชร์เทคนิคน่ารู้ในการรู้จักตัวเองผ่านวิธีการทำ Self-reflection หรือการสะท้อนตัวเองจากการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวเอง เพื่อให้ชาวทรูได้นำไปใช้ในการสร้างความเข้าใจและพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มที่ ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. สำรวจก่อนว่าเราพร้อมที่จะอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ หรือไม่ หากไม่พร้อมให้ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่เสริมสร้างความสุขให้สบายใจ เช่น ร้องเพลง กิน เที่ยว ไปอยู่กับธรรมชาติ
2. เมื่อพร้อมแล้ว ให้หาช่วงเวลาที่จะนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ อยู่คนเดียวในห้อง ไม่มีใครรบกวน อย่างน้อย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง
3. เตรียมกระดาษ ปากกาให้พร้อม เพื่อเขียนตอบตัวเองในกระดาษว่า ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเราบ้าง สถานการณ์ที่เราเจอเป็นอย่างไร ในจุดนี้หลายคนอาจจะมีคำถามว่า ถ้าคิดไม่ออกจะทำอย่างไร เราต้องให้เวลาตัวเองเพิ่ม นี่คือชีวิตของเรา มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้
4. หลังจากเขียนปัญหาออกมาแล้ว ให้ถามตัวเองต่อไปว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุมาจากไหน โดยถามตัวเองด้วยคำถามเดิมนี้ ทั้งหมด 5 รอบ เพื่อให้เราค่อย ๆ เจาะลึกถึงลงไปเรื่อย ๆ จนเจอสาเหตุที่แท้จริง
5. กระบวนการทั้งหมดจะทำให้เราเห็นปัญหา รู้สาเหตุ และเข้าใจตัวเองยิ่งขึ้น หลายคนอาจมีเรื่องที่อยากทำความเข้าใจตัวเองหลายเรื่อง ให้เริ่มจากเรื่องเดียวก่อน เมื่อทำสำเร็จแล้วไปหนึ่งเรื่องแล้ว จึงย้อนกลับมาทำตามขั้นตอนแรกเพื่อจัดการเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
การทำ self-reflection นี้ ก็เพื่อให้เราเข้าใจตัวเอง และจัดการเรื่องที่ติดค้างอยู่ เพื่อให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ และตัวเองมากขึ้น และเกิดความสุขและสบายใจมากขึ้นนั่นเอง
ทำงานสนุกแบบพลังใจล้น เราทุกคนพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน
การมีคนเข้าใจ แบ่งปันพลังงานบวก ย่อมทำให้จิตใจมีความสุขและพร้อมทำงานได้อย่างเต็มที่ ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านความรักความสัมพันธ์ จากรายการ Club Friday ได้พูดคุยถึงแนวโน้มหรือกระแสที่สังคมคนทำงานและองค์กรพูดถึงกันมากโดยเฉพาะตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 นั่นคือ ภาวะการหมดไฟในการทำงาน พร้อมแชร์ข้อคิดและเคล็ดลับดี ๆ ให้ชาวทรูได้อบอุ่นใจ เพิ่มพลังการทำงานได้อย่างมีความสุขล้นเหลือ ด้วยวิธีที่ง่าย ๆ แต่ทำแล้วสบายใจมาก
1. ทุกคนท้อได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เราอาจได้ยินคำว่า ‘ท้อแล้วให้รีบลุกขึ้นมา’ แต่จะดียิ่งกว่าถ้าเรายอมรับความจริงก่อนว่า เรากำลังเริ่มเหนื่อย เพราะการที่จิตใจและร่างกายเริ่มเข้าภาวะหมดไฟ นั่นหมายความว่า ร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่า เราใช้ร่างกายหนักเกินไป
2. หากอยากมีพลังทำงานในทุก ๆ วัน ให้ถามตัวเองบ้างว่า เหนื่อยไหม ถ้าเหนื่อยต้องพัก ซึ่งวิธีการพักไม่ต้องมองถึงสิ่งไกลตัว แค่ได้กินของอร่อยที่อยากกิน เจอเพื่อนก็ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่าทำแต่อะไรที่เป็นกิจวัตรประจำวัน จนกระทั่งลืมไปว่า ความต้องการจริง ๆ ของเราคืออะไร
3. คำชื่นชมจากหัวหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะเป็นกำลังใจเพื่อจะบอกว่าคน ๆ นั้นมีความสำคัญกับองค์กรแค่ไหน และสำคัญที่สุดคือ คำชมที่ให้กับตัวเอง ซึ่งการชมตัวเองไม่ใช่การโอ้อวด แต่เป็นการบอกให้รู้ว่าเราก็เป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพ เราจะได้รู้สึกมีพลังในตัวเองด้ว
นอกจากนี้ ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ได้ทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับสวัสดิการในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มพลังใจและดูแลสุขภาพใจของพนักงานว่า
“ถ้าเมื่อไรก็ตามที่จิตใจของเราเหนื่อยล้า เราจะไม่มีพลังไปทำงาน ตอนนี้สวัสดิการในบริษัทหลายที่ทั่วโลกเน้นการดูแลสุขภาพใจ ส่วนในประเทศไทย ทรูเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการดูแลเรื่องสุขภาพใจ เมื่อบริษัทดูแลดีทุกคนจะเอาหัวใจลงไปทำงาน และถ้าหากใครที่เอาหัวใจลงไปทำงาน ก็จะมีพลังบางอย่างที่ผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน”
ขับเคลื่อนองค์กรด้วยความสุขของพนักงาน
เพราะเชื่อว่า “คน” เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ทรูจึงมุ่งเน้นดูแลให้พนักงานทุกคนในองค์กรทำงานอย่างมีความสุข เป็น People Organization ที่นึกถึงพนักงานเป็นอันดับแรก โดยดูแลความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ทั้งกายและใจ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานด้วยความมั่นใจ สบายใจ และมีความสุข
ในด้านของการดูแลความสุขและพลังใจนั้น นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมพบปะและแชร์เคล็ดลับความรู้ที่ดูแลและผ่อนคลายจิตใจแล้ว
ทรูยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายอย่างมากเช่นกัน ตั้งแต่การใส่ใจในเรื่องเล็ก ๆ เช่น จัดห้อง Nap ให้สำหรับพนักงานที่ต้องการมาพักผ่อนสมองและร่างกาย เพื่อความผ่อนคลายในช่วงพักระหว่างวันเป็นเวลาสั้น ๆ พร้อมเติมกำลังในการทำงานอย่างสดชื่น หรือหากมีอาการเมื่อยล้าร่างกายก็มีบริการนวดเพื่อสุขภาพ หรือทำกายภาพบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่รักการออกกำลังกาย ให้ได้มาใช้ฟิตเนสในออฟฟิศ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่อื่นอีกด้วย เรียกได้ว่า ทรู จัดสวัสดิการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ และดูแลความเป็นอยู่และความสุขทั้งกายใจของพนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการที่ดูแลเฉพาะทางสำหรับผู้ที่ต้องการพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ผ่านบริการที่สะดวกด้วยการปรึกษาทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee เพราะเรื่องการดูแลสุขภาพใจเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพกาย
การทำงานที่เริ่มต้นด้วยจิตใจ และร่างกายที่ดี ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะขับเคลื่อนให้ผลงานออกมาสำเร็จตามเป้าหมาย ฉะนั้นหมั่นเติมพลังใจ ทำให้ตัวเรามีความสุขเข้าไว้ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดไปด้วยกัน